เคยไหม? ที่รู้สึกว่าชีวิตมันช่างเหนื่อยล้าเหลือเกิน เหมือนแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมดไฟ งานก็รัดตัว เวลาส่วนตัวก็แทบไม่มี ความสุขในชีวิตหายไปไหนหมด
เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่งานดูดพลังชีวิตไปจนหมดสิ้น วัน ๆ เอาแต่นั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์จนตาแทบบอด คิดอะไรไม่ออก สมองตื้อไปหมด แถมยังต้องเผชิญกับปัญหาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ วนไปวนมา จนบางครั้งก็ท้อแท้ หมดกำลังใจ
แต่ทุกครั้งที่ความเหนื่อยล้ามันถาโถมเข้ามา เราจะนึกถึง “การเดินทาง”
หลายคนอาจจะคิดว่า การเดินทางมันก็แค่การเสียเงิน เสียเวลา และเหนื่อยกายไม่ใช่เหรอ? ใช่…มันก็เหนื่อยจริง ๆ นั่นแหละ ไหนจะต้องเตรียมตัว วางแผน จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก แถมระหว่างเดินทางก็ต้องลากกระเป๋าไปมา เดินเยอะ ๆ ร้อน ๆ เหนื่อยจะแย่ บางทียังต้องเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ นานา ทั้งเรื่องอาหารการกิน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งปัญหาเรื่องการสื่อสาร
แต่แปลกนะ…ทุกครั้งที่กลับมาจากการเดินทาง ความเหนื่อยล้าเหล่านั้นมันกลับหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา เหมือนได้ชาร์จแบตให้กับทั้งร่างกายและจิตใจ
การเดินทางมันเหมือนเป็นการกดปุ่มรีเซ็ตให้กับชีวิต ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้เจอผู้คน วัฒนธรรม และสถานที่ที่แตกต่างออกไป มันทำให้เราลืมความเครียด ความกังวล และความเหนื่อยล้าจากชีวิตประจำวันไปได้ชั่วขณะ
ที่สำคัญ การเดินทางยังทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ได้เห็นโลกในมุมที่กว้างขึ้น ได้เข้าใจและยอมรับความแตกต่างของผู้คน ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน มันทำให้เราเติบโตขึ้นในทุก ๆ การเดินทาง
บางที ความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง อาจจะเป็นแค่เปลือกนอกที่ห่อหุ้มความสุข ความตื่นเต้น และความทรงจำดี ๆ ที่เราจะไม่มีวันลืม ภาพความทรงจำเหล่านั้นจะคอยเตือนเราว่า ชีวิตมันมีอะไรมากกว่างานที่ทำอยู่ทุกวัน มีโลกกว้าง ๆ ที่รอให้เราออกไปสำรวจ
และนั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงยังคงเดินทางต่อไป แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม เพราะการเดินทางมันทำให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวา รู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่า และยังมีอะไรอีกมากมายที่รอให้เราไปค้นหา
การเดินทางอาจจะไม่ใช่ยาวิเศษที่จะรักษาอาการเหนื่อยล้าจากชีวิตได้ทั้งหมด แต่มันก็เป็นเหมือนยาชูกำลังชั้นดี ที่ช่วยเติมพลังให้เราพร้อมกลับไปสู้กับชีวิตอีกครั้ง